หูฟังตัดเสียงรบกวนหรือหูฟัง noise cancelling คือ หูฟังที่มีระบบตัดเสียงรบกวนแบบดิจิตอลอยู่ภายใน ทำหน้าที่ตัดเสียงรบกวนต่างๆที่อยู่รอบๆ ตัวผู้สวมใส่เช่น เสียงรถยนต์, เสียงสนทนา, หรือเสียงบรรยากาศในห้างสรรพสินค้า ช่วยให้ผู้สวมใส่แทบจะไม่ได้ยินเสียงรบกวนรอบๆตัวขณะใส่หูฟังฟังเพลง ดูหนัง หรือเล่นเกม ซึ่งความเงียบขณะใส่หูฟังนั้น จะเงียบมากกว่าหูฟังที่ไม่มีระบบตัดเสียงรบกวน
หูฟังตัดเสียงรบกวนนั้นจะมีไมโครโฟนอยู่ภายในหลากหลายตัว การทำงานของระบบตัดเสียงรบกวน active noise cancelling นั้นจะมีขั้นตอนการทำงาน ดังนี้
หูฟังจะทำการดูดคลื่นเสียงรบกวนรอบๆตัวของผู้สวมใส่ผ่านไมโครโฟนบนหูฟังเข้ามาในหูฟังในรูปแบบของคลื่นเสียงดิจิตอล เมื่อหูฟังดูดเสียงรบกวนรอบๆตัวเข้ามาในหูฟังแล้ว หูฟังจะทำการคัดลอก (duplicate) คลื่นเสียงรบกวนเหล่านั้น และทำการกลับหัวกลับหางคลื่น (กลับเฟส) ก่อนจะนำคลื่นเสียงที่กลับเฟสแล้วไปทับกับคลื่นเสียงรบกวนที่ดูดเข้ามาตอนแรก เมื่อนำคลื่นเสียงแบบกลับหัวกลับหาง ไปทับกับคลื่นเสียงรบกวนรอบๆตัวที่หูฟังดูดเข้ามาแล้ว มันจะเกิดการหักล้างของคลื่นเสียง (phase cancellation) หรือกลายเป็น “คลื่นสัญญาณเสียงที่ไม่มีเสียงใดๆ” จากนั้น หูฟังจะส่งคลื่นเสียงเงียบที่ไม่มีเสียงใดๆเข้าสู่แก้วหูของเราตลอดเวลาขณะเราเปิดโหมด ส่งผลให้เราได้ยินเสียงรบกวนรอบตัวเบาลงอย่างมาก หรือจนถึงระดับที่แทบจะไม่ได้ยินเสียงรบกวนรอบตัวเลย
ระบบตัดเสียงรบกวน จะยกระดับประสบการณ์การรับฟังให้ดีขึ้นโดยการยกเลิกเสียงรบกวนจากาภายนอกให้ แต่ควรจะต้องเข้าใจในเรื่องดังต่อไปนี้ :
- หูฟังจะใช้พลังงานจากแบตเตอรี่หูฟังมากขึ้น : ขณะเปิดใช้งาน หูฟังจะกินพลังงานแบตเตอรี่จากหูฟังเพิ่มขึ้น เพราะระบบตัดเสียงรบกวนจำเป็นต้องใช้พลังงานในการประมวลผลและจัดการเสียงรบกวน
- ส่งผลต่อคุณภาพเสียง : มีการพิสูจน์ออกมาแล้วว่าระบบตัดเสียงรบกวนนั้นสามารถส่งผลต่อคุณภาพเสียงของหูฟังได้เล็กน้อย หากนำหูฟังไปวัดเป็นกราฟเสียง SPL ในโปรแกรมวัดคลื่นเสียง เราจะเห็นชัดเลยว่า กราฟเสียงที่วัดตอน “เปิด” โหมดตัดเสียงรบกวน และกราฟเสียงที่วัดตอน “ปิด” โหมดตัดเสียงรบกวนนั้นมีความแตกต่างกัน แต่ทั้งนี้ในการใช้ฟังเทียบกับหูจริงๆแล้ว ค่อนข้างจะได้ยินความต่างของเสียงได้ยากมาก เพราะมันต่างกันนิดเดียวจนเราแทบจะไม่รู้สึกถึงความเปลี่ยนแปลงของเสียง
- หูฟังตัดเสียงรบกวนบางรุ่นอาจทำให้วิงเวียนศีษระเล็กน้อย : หูฟังตัดเสียงรบกวนบางรุ่นนั้นมีการส่งสัญญาณคลื่นเสียงที่เข้มข้นมาก อาจทำให้ผู้ใช้งานบางท่านเกิดการวิงเวียนศีษระได้เล็กน้อย
ระบบตัดเสียงรบกวน แบ่งออกเป็น 2 ประเภท คือ
1. Passive Noise Isolation
ระบบ Passive Noise Isolation ก็คือ ฟองน้ำหูฟัง หรือ จุกยางของหูฟังนั่นเอง ตัวอย่างเช่น หูฟังแบบ In-Ear เมื่อใช้งานร่วมกับจุกยาง(หรือโฟม) ที่สวมใส่ได้เหมาะสมกับหูเรานั้น จะสามารถป้องกันเสียงรอบข้างเข้ามารบกวนได้ดีมาก อีกทั้งยังป้องกันเสียงเล็ดลอดไปรบกวนผู้อื่นอีกด้วย
2. Active Noise Cancelling.
ระบบ Active Noise Cancelling เป็นการป้องกันเสียงรบกวนแบบใช้ไฟฟ้า ซึ่งมีประสิทธิภาพมากกว่าระบบของ Passive Noise Isolation โดยระบบนี้จะใช้ไมโครโฟนเป็นตัวรับเสียงมาประมวลผลว่าจะทำการตัดเสียง แล้วจึงส่งให้ระบบขจัดเสียงรบกวนสร้างคลื่นให้มีรูปแบบตรงกันข้ามเพื่อหักล้างเสียงรบกวนนั้นๆ ทำให้เมื่อเรารับฟังผ่านหูฟังจึงแทบจะไม่ได้ยินเสียงรบกวนจากแหล่งอื่นๆ ซึ่งปัจจุบันนั้นได้มีการพัฒนาไปอีกขั้นด้วยระบบ cVc หรือ Clear Voice Capture โดย Qualcomm CSR ด้วยเทคโนโลยี cVc นี้นอกจากจะตัดเสียงรบกวนตามแบบเดิมแล้ว ยังมีการเพิ่มคุณภาพเสียงหลังการหักล้างด้วยระบบ Noise Cancelling อีกทั้งยังป้องกันข้อมูล (เสียง) สูญหายจากการทำงานของระบบ Noise Cancelling อีกด้วยจึงทำให้นอกจากจะขจัดเสียงรบกวนแล้ว ยังช่วยเพิ่มคุณภาพเสียงให้ดีขึ้นกว่าระบบ Noise Cancelling ทั่วไป โดยข้อดีของเทคโนโลยีนี้คือมีขนาดที่เล็กและยังประหยัดพลังงานได้มากๆ ใช้พลังงานแบตเตอรี่ไม่มาก ทำให้สามารถใส่ได้ในหูฟังของ Marshall รุ่น Motif A.N.C., Motif II A.N.C., Monitor II A.N.C., Monitor III A.N.C.